
คราวก่อนผมมาแชร์ "เทคนิคในการตั้งราคาแบบง่ายๆแต่โดนใจ" กันไปแล้ว สำหรับคนที่รู้ตัวแล้วว่าอยากใช้เทคนิคไหนแต่ยังไม่รู้ว่าจะตั้งราคาเท่าไหร่ดี ..
คราวนี้เราลองมาดู" model ในการตั้งราคาแบบง่ายๆ" เพิ่มเติมกันดูนะครับ

"Cost Plus Pricing"
ความหมายตรงตัวเลยครับ ต้นทุนมีเท่าไหร่คิดมาให้หมดครับ และอยากได้กำไรเท่าไหร่ ก็บวกเข้าไป (Markup) เป็นราคาขายได้เลย
ข้อดี คือ เราได้กำไรตามที่เราต้องการครับ แต่ข้อเสียคือ คนอาจจะไม่ซื้อเพราะราคาอาจจะแพงจนเกินไปก็เป็นได้ครับ

"Competition based Pricing"
นั่นคือ ถ้าเราขายสินค้าที่มีคู่แข่งอยู่ในตลาด เราต้องดูด้วยว่าเค้าขายในราคาเท่าไหร่ แล้วเราก็ต้องตั้งราคาไม่หนีจากเค้ามากนัก โดยเราควรใช้เรื่อง positioning รวมไปถึงคุณภาพของสินค้าของเรา ประกอบการตัดสินใจด้วยนะครับ ถ้าใกล้เคียงกันมากก็จำเป็นต้องตั้งราคาใกล้เคียงกันหรือเท่าๆกันครับ ตัวอย่างง่ายๆครับ ร้านนวดในสยาม ที่อยู่ติดกัน เกือบทุกร้านราคาเดียวกันหมดเลยครับ

"Value-based Pricing"
สำหรับแบบสุดท้ายนี้ การตั้งราคาสินค้าจากคุณค่าของสินค้าที่ให้แก่ลูกค้า/ผู้บริโภคครับ
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ iPhone โดยราคาต้นทุนอยู่ที่ไม่ถึงพันบาท แต่ขายทีราคา 4x,xxxบาท เพราะว่าเค้าประเมินแล้วว่าคุณค่าที่ผู้ใช้จะได้รับมีค่าเท่ากับ 4หมื่นบาทครับ
และหากเราสามารถประเมิน value ที่สินค้าหรือบริการของเรามอบให้กับลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ในความคิดของผมแล้ว โมเดลนี้เป็นโมเดลดีที่สุดเลยครับ เพราะเป็นราคาที่ลูกค้ายินดีที่จะจ่าย
โดยโมเดลนี้ดีกว่าโมเดลแรกอย่าง Cost Plus Pricing ตรงที่ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ลูกค้าไม่ได้สนใจต้นทุนของเรา ถ้าเราต้นทุนสูง แล้วจะตั้งราคาสูง แต่สินค้าเราไม่ตอบโจทย์ ลูกค้าเค้าก็ไม่เอาครับ แต่ถ้าต้นทุนเราต่ำ แต่ของเราดีมาก เค้าใช้ประโยชน์ได้มาก เค้าก็ยินดีที่จะจ่ายในราคาที่เหมาะสมครับ