ยิ่งการตลาดออนไลน์ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ โฆษณาออนไลน์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เหล่า Content Creator จึงต้องงัดทุกวิชาเพื่อสร้างสรรค์โฆษณาที่สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด
ทำให้แพลตฟอร์มต่างๆ กลายเป็นสมรภูมิไอเดีย ที่เหล่า Content Creator พากันอยากเอาชนะ และเป็นไวรัล
หรือให้คนพูดถึงกันมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันก็จะมีทั้ง Image Ads และ Video Ads ที่กำลังได้รับความนิยมมากๆ
เพราะเข้าใจง่าย สื่อสารได้ชัดเจน และสามารถแชร์ต่อได้ง่าย แต่ถ้าถามว่าระหว่าง Image Ads และ Video Ads โฆษณาแบบไหนที่สามารถตอบโจทย์ และให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อแบรนด์ และ Content Creator มากกว่ากัน
วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณ แต่ก่อนที่เราจะรู้ว่าโฆษณารูปแบบไหนปังกว่ากันนั้น เราต้องทำความรู้จักกับรูปแบบทั้งสองกันก่อนค่ะ

Image Ads คืออะไร?
ถ้าคุณเคยเห็นโฆษณาแบบรูปภาพ ที่มีทั้งแบบรูปเดี่ยว และแบบหลายรูป นั่นคือ Image Ads ค่ะ
ซึ่งเป็น Content Ads ที่พบได้บ่อยที่สุด และได้รับความนิยมมากที่สุดในแพลตฟอร์มต่างๆ
เพราะสร้างง่าย รวดเร็ว สามารถสร้างโฆษณาในการโปรโมทธุรกิจ และสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ของคุณได้ภายในไม่กี่นาที รวมถึงกลุ่มลูกค้าก็สามารถเข้าใจได้ง่ายอีกด้วยค่ะ
ข้อดีของ Image Ads
ผลการสำรวจจาก Facebook พบว่าโฆษณาแบบ Image Ads มักจะมีประสิทธิภาพเรื่องการดึงดูดให้ผู้คนสนใจได้ดีกว่าโฆษณารูปแบบอื่นๆ ด้วยความที่โฆษณารูปแบบนี้ออกแบบง่ายที่สุด และรวดเร็วที่สุด นอกเหนือจากนี้ยังสามารถนำเสนอคุณค่าของสินค้า หรือแบรนด์ได้ภายในภาพเดียว จึงทำให้ Image Ads เป็นรูปแบบโฆษณาที่ได้รับนิยมนำไปใช้กันมากที่สุดค่ะ
ข้อเสียของ Image Ads
Image Ads ที่สามารถสร้างออกมาได้ง่าย จึงถูกเผยแพร่ออกมาจำนวนมาก ส่งผลให้มีการแข่งขันที่สูงมากเช่นกัน จึงเป็นเรื่องยาก และท้าทายที่จะทำอย่างไรให้ Image Ads ของตัวเองประสบความสำเร็จ ได้รับความสนใจ และเป็นที่พูดถึงในวงกว้างค่ะ
ขนาดของ Image Ads
นอกจากความคิดสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่องแล้ว ขนาดของรูปภาพก็สำคัญค่ะ ควรพอดีกับกรอบของ Facebook ไม่อย่างนั้นอาจจะมีส่วนที่ขาดหรือเกินออกไปได้ และทำให้สิ่งที่คุณต้องการจะสื่ออาจผิดเพี้ยนไปจากจุดประสงค์เดิม โดยขนาดของรูปภาพที่อัปโหลดจะต้องมีขนาดสัดส่วนของภาพที่ 1.91:1 ถึง 1:1 ความละเอียดที่ 1080 x 1080 Pixels ขนาดของไฟล์สูงสุดไม่เกิน 30 MB สำหรับภาพเดี่ยว ส่วนแบบอัลบั้มควรมีสัดส่วนของภาพที่ 1.91:1 ถึง 4:5 หรือ 1:1 สำหรับภาพแบบ Square ความละเอียดแนะนำที่ 1080 x 1080 Pixels (ไม่มีข้อจำกัดว่าความละเอียดของภาพห้ามเกินเท่าไร แต่หากต่ำกว่าค่านี้ภาพอาจแตกได้ค่ะ)
Video Ads คืออะไร?
อีกหนึ่ง Content Ads ที่กำลังได้รับความนิยมมากในช่วงนี้ คือ Video Ads ค่ะ
โดยเฉพาะช่วงวิกฤต Covid-19 ที่ผ่านมา ที่หลายคนต้อง Work From Home กัน จึงทำให้มีเวลายืดหยุ่นในการเล่นโซเชียลมากขึ้น ส่งผลให้แอปพลิเคชันแนววิดิโอต่างๆ ได้รับความนิยมอยากมาก เพราะทุกคนก็สามารถเป็น Content Creator ได้เพียงปลายนิ้วเท่านั้น อีกทั้งในมุมมองของแบรนด์ยังสามารถสื่อสารคอนเทนต์ได้หลายมิติกว่า มีทั้งภาพเคลื่อนไหว และเสียง ทำให้กลุ่มลูกค้าเห็นสินค้า และรับสารจากแบรนด์ได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เหตุนี้เองโฆษณาแบบวิดีโอจึงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้ามากขึ้นค่ะ
ข้อดีของ Video Ads
Video Ads สามารถเล่าเรื่องได้ดีกว่ารูปภาพเดี่ยวๆ จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และยังสามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มลูกค้าได้ดีกว่า จึงมีแนวโน้มที่ทำให้พวกเขาคลิกโฆษณามากขึ้น ส่งผลให้ Cost per Objective ถูกลงไปด้วย นอกจากนี้ยังสามารถ Re-Targeting หรือการสร้าง Custom Audience กลุ่มคนที่ดูวิดีโอของเราได้อีกด้วยค่ะ
ข้อเสียของ Video Ads
ถึงแม้ว่า Video Ads จะสามารถดึงดูดได้มากกว่า Image Ads แต่การดูคลิปใดคลิปหนึ่ง อาจต้องใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจถึงเรื่องที่จะสื่อสารออกมามากกว่า ซึ่งบางทีกว่าวิดิโอตัวนั้นจะเล่าถึงตัวแบรนด์ คนดูก็เลื่อนผ่านไปแล้ว ส่งผลให้แบรนด์ไม่ได้ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์น้อยจากสิ่งที่ต้องการสื่อสารออกไป โดยผลการวิเคราะห์ของ Facebook พบว่าผู้บริโภคกว่า 23% มีแนวโน้มจะจดจำแบรนด์ หากมีแบรนด์ปรากฎอยู่ในช่วงสามวินาทีแรกของวิดีโอ และ 13% จะจดจำได้หากอยู่หลังสี่วินาทีของวิดีโอค่ะ รวมถึง Video Ads ต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างที่นานกว่า Image Ads ด้วยค่ะ
ขนาดของ Video Ads
สำหรับการใช้งานผ่าน Facebook จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 16:9 หรือ 9:16 ความยาวสูงสุด 240 นาที ส่วนใน Instagram จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 1.91:1, 4:5 ความยาวสูงสุด 1 - 120 วินาที และ Instagram Stories 16:9, 4:5 และ 9:16 ความยาวสูงสุด 1 - 120 วินาทีค่ะ ซึ่งระยะเวลามีความสำคัญมากๆ กับความน่าสนใจในตัววิดิโอ เพราะคลิปที่ยาวเกินไป อาจทำให้กลุ่มลูกค้าเลื่อนผ่าน และไม่สนใจได้ง่ายๆ
บทสรุป
อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าระหว่าง Image Ads กับ Video Ads แบบไหนจะดีกว่ากัน เพราะจริงๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ ที่อาจมีความแตกต่างกันอย่าง ทั้งสินค้า กลุ่มลูกค้า และความต้องการของแบรนด์ค่ะ ตัวอย่างเช่น หากกลุ่มลูกค้าที่มีอายุมากอาจจะชอบ Video Ads มากกว่า เพราะไม่ต้องอ่านเยอะ มีเสียงให้ฟัง และทำความเข้าใจง่าย แตกต่างจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่เน้นความรวดเร็ว เน้นอ่านไวๆ ชอบภาพสวยๆ แชร์ไปที่ฟีดของตัวเองแล้วดูดี เป็นต้น แต่ถ้ามองในมุมคนทำแล้ว แน่นอนว่า Video Ads จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อแบรนด์มากกว่า เพราะสามารถดึงดูดให้กลุ่มค้าคลิกได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถ Re-Target ได้ด้วยนั่นเองค่ะ
สำหรับใครที่กำลังสนใจ หรือหาเพื่อนคู่คิดที่พร้อมจะช่วยให้แบรนด์ของคุณประสบความสำเร็จไปด้วยกัน
สามารถติดต่อมาที่ Brand Buddy ได้ตามช่องทางด้านล่างเลยค่ะ พวกเราพร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจ Digital Marketing ทุกรูปแบบค่ะ 🥰